Category: บันทึกระหว่างทาง
-

Gion Matsuri: มนต์เสน่ห์แห่งฤดูร้อน
หากคุณมีแพลนจะไปเกียวโตในช่วงเดือนกรกฎาคม ต้องไม่พลาดชม Gion Matsuri เป็นเทศกาลประจำปีที่สำคัญของเกียวโต จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม เพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าและขับไล่วิญญาณชั่วร้าย มีการจัดกิจกรรมมากมาย เช่น ขบวนแห่ที่เต็มไปด้วยสีสัน และการแสดงดนตรี ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวเกียวโต.
-

สัญลักษณ์ชินโต เอกลักษณ์ที่สะท้อนจิตวิญญาณญี่ปุ่น
ชินโตกับสัญลักษณ์ที่เล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ชินโต หรือความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น เป็นความเชื่อที่มีความเกี่ยวพันกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง โดยมี สัญลักษณ์ ต่าง ๆ เป็นตัวแทนของพลังศักดิ์สิทธิ์หรือ “คามิ” (Kami) ที่ชาวญี่ปุ่นนับถือ ความเรียบง่ายแต่งดงามของสัญลักษณ์เหล่านี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ชินโตโดดเด่น แต่ยังสะท้อนถึงปรัชญาชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ประตูโทริอิ (Torii): สัญลักษณ์แห่งการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในชินโตคือ โทริอิ ประตูสีแดงที่ตั้งอยู่หน้า ศาลเจ้า (Jinja) หรือพื้นที่ที่เชื่อว่าเป็นที่สถิตของคามิ เชือกชิเมะนะวะ (Shimenawa): เครื่องหมายแห่งพลังบริสุทธิ์ ชิเมะนะวะ เป็นเชือกฟางที่ผูกล้อมรอบต้นไม้ ก้อนหิน หรือสถานที่ที่เชื่อว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์สิงสถิต กระจกศักดิ์สิทธิ์ (Yata no Kagami): สัญลักษณ์แห่งปัญญาและความจริง ในความเชื่อชินโต กระจกถือเป็นวัตถุที่มีความหมายลึกซึ้งและศักดิ์สิทธิ์ แผ่นไม้เอมะ (Ema): สื่อกลางระหว่างมนุษย์กับคามิ เอมะ คือแผ่นไม้ที่ผู้คนเขียนคำขอพรหรือคำอธิษฐาน ก่อนนำไปแขวนในศาลเจ้า น้ำพุชำระล้าง (Temizuya): สัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ก่อนเข้าสู่ศาลเจ้าชินโต ผู้คนจะต้องทำการชำระล้างมือและปากที่ เทมิสึยะ (Temizuya) สัญลักษณ์เหล่านี้บอกอะไรกับเรา? เอกลักษณ์ของสัญลักษณ์ชินโตคือความเรียบง่ายที่ลึกซึ้ง ทุกสัญลักษณ์สะท้อนถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ…
-

ศาสนาชินโตคืออะไร ? ตำนาน ความเชื่อ และบทบาทในชีวิตชาวญี่ปุ่น
ศาสนาชินโต: ศาสนาพื้นเมืองแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย ศาสนาชินโต (Shinto) เป็นศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีรากฐานมาจากความเชื่อในธรรมชาติและวิญญาณ เป็นเสาหลักสำคัญของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ดำรงอยู่มานับพันปี แต่ชินโตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? บทความนี้จะพาคุณย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของศาสนานี้ จุดเริ่มต้นของศาสนาชินโต ศาสนาชินโตไม่มีผู้ก่อตั้งหรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เช่นศาสนาอื่น ๆ แต่เกิดขึ้นจากความเชื่อของผู้คนในยุคโบราณที่เชื่อว่า ธรรมชาติและสิ่งรอบตัวมีวิญญาณหรือพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเรียกว่า คามิ (Kami) ความเชื่อนี้มีต้นกำเนิดก่อนยุคประวัติศาสตร์ หรือประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคแรก ชาวญี่ปุ่นมีวิถีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ พวกเขานับถือภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ และดวงอาทิตย์ว่าเป็นสถิตของเทพเจ้า พิธีกรรมต่าง ๆ ถูกจัดขึ้นเพื่อขอบคุณและขอพรจากธรรมชาติ เช่น เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลหรือการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิญี่ปุ่น ศาสนาชินโตเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเมื่อชนเผ่าต่าง ๆ ในญี่ปุ่นรวมตัวกันเป็นรัฐชาติในศตวรรษที่ 4-5 โดยมีราชวงศ์จักรพรรดิแห่งตระกูลยามาโตะ (Yamato) เป็นศูนย์กลาง จักรพรรดิญี่ปุ่นได้รับการยกย่องว่าเป็นเชื้อสายของเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ อามาเตราสุ (Amaterasu) ผู้ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์จักรพรรดิ สิ่งนี้ช่วยยกระดับศาสนาชินโตให้เป็นศาสนาประจำชาติ โดยศาลเจ้าและพิธีกรรมต่าง ๆ ถูกนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างอำนาจและความชอบธรรมให้แก่จักรพรรดิ การพัฒนาและความเปลี่ยนแปลง ในช่วงศตวรรษที่ 6-8 ศาสนาพุทธจากจีนและเกาหลีแพร่เข้าสู่ญี่ปุ่นและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ศาสนาชินโตจึงเริ่มผสานรวมเข้ากับศาสนาพุทธ เกิดเป็นแนวทางปฏิบัติและพิธีกรรมที่ผสมผสานระหว่างทั้งสองศาสนา อย่างไรก็ตาม…
-

โทริอิ: ประตูที่มากกว่าสัญลักษณ์ สู่ตำนานและความศรัทธา
ประตูโทริอิ (Torii): สัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ในญี่ปุ่น เมื่อคุณเดินทางไปญี่ปุ่น สิ่งที่เห็นได้ทั่วไปและดึงดูดสายตาคงหนีไม่พ้น ประตูโทริอิ (Torii) ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณศาลเจ้า วัด หรือแม้กระทั่งกลางทะเลและทะเลสาบ ประตูไม้สีแดงสดหรือบางครั้งเป็นหินนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถาปัตยกรรมที่งดงาม แต่ยังเต็มไปด้วยความหมายและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ความหมายของประตูโทริอิ โทริอิเป็นประตูที่มีไว้เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนผ่านระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนขอบเขตที่แยกโลกทางกายภาพออกจากโลกทางจิตวิญญาณ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อคุณเดินผ่านประตูโทริอิ คุณจะก้าวเข้าสู่พื้นที่อันบริสุทธิ์ที่เหล่าทวยเทพ (คามิ) พำนักอยู่ คำว่า “โทริอิ” ในภาษาญี่ปุ่น (鳥居) ประกอบด้วยคำว่า “โทริ” (鳥) ที่แปลว่านก และ “อิ” (居) ที่แปลว่าที่อยู่อาศัย เชื่อกันว่านก โดยเฉพาะอีกาและนกกระสา มีความเชื่อมโยงกับเทพเจ้าในศาสนาชินโต จึงอาจเป็นที่มาของชื่อโทริอิ ประวัติความเป็นมาของประตูโทริอิ โทริอิมีต้นกำเนิดย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 8 หรือก่อนหน้านั้นในยุคศาสนาชินโตเริ่มแพร่หลายทั่วญี่ปุ่น แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าโทริอิเริ่มต้นขึ้นที่ใด แต่ประตูเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากความเชื่อทางศาสนาและศิลปะจากจีนและอินเดีย ในยุคแรก ประตูโทริอิส่วนใหญ่ทำจากไม้เรียบง่าย ต่อมาในยุคเอโดะเริ่มมีการออกแบบให้ซับซ้อนขึ้นและเพิ่มสีสัน เช่น สีแดงซึ่งเป็นสีที่เชื่อว่าช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ความสำคัญของโทริอิในวัฒนธรรมญี่ปุ่น โทริอิไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างที่งดงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเคารพต่อธรรมชาติและเทพเจ้าในศาสนาชินโต ประตูเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าพื้นที่นั้นศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะศาลเจ้าที่ตั้งอยู่กลางป่า ภูเขา หรือริมชายฝั่ง ในบางสถานที่…
-

Shirakawago: ย้อนเวลากลับสู่ความงดงามของวิถีชีวิตญี่ปุ่นดั้งเดิม
ดื่มด่ำบรรยากาศและความงานใน Shirakawago ชิราคาวาโกะ (白川郷, Shirakawagō) หมู่บ้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุของญี่ปุ่น มีชื่อเสียงในฐานะหมู่บ้านที่สามารถรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของญี่ปุ่นไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ทุกสิ่งที่คุณพบในชิราคาวาโกะเต็มไปด้วยเสน่ห์และบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีต โดยเฉพาะการเยี่ยมชมบ้านเก่า ๆ สไตล์ กัชโช-สึคุริ (Gassho-zukuri) ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของหมู่บ้านนี้ เป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้คุณสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นดั้งเดิมได้อย่างแท้จริง บรรยากาศอันเงียบสงบของ Shirakawago เมื่อก้าวเข้าสู่ชิราคาวาโกะ คุณจะพบกับบรรยากาศที่เงียบสงบ (ช่วงหลังมานี้นักท่องเที่ยวเยอะมากแล้วนะครับ) และงดงาม หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้สามารถชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิมีดอกซากุระบานสะพรั่ง ฤดูร้อนจะพบกับทุ่งนาสีเขียวชอุ่ม ฤดูใบไม้ร่วงมีใบไม้เปลี่ยนสีเป็นทอง และฤดูหนาวหิมะปกคลุมบ้านเรือนจนดูเหมือนฉากในภาพวาด การเดินทางมายังชิราคาวาโกะทำให้คุณเหมือนได้เดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีตที่เรียบง่ายและสงบเงียบ ความงดงามของบ้านกัชโช-สึคุริ บ้าน กัชโช-สึคุริ ในชิราคาวาโกะเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาชื่นชม บ้านเหล่านี้มีหลังคาฟางสูงชันที่ออกแบบมาเพื่อทนทานต่อหิมะหนาในฤดูหนาว เป็นลักษณะเหมือนการประนมมือไว้ ความชันของหลังคาช่วยให้น้ำหนักหิมะไม่ทำลายบ้าน โครงสร้างของบ้านใช้ไม้และวัสดุธรรมชาติจากท้องถิ่น โดยไม่มีการใช้ตะปู แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของช่างฝีมือดั้งเดิม บ้านเหล่านี้ยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเยี่ยม ทำให้ผู้มาเยือนได้เห็นความงามและความแข็งแรงของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณที่ยังคงยืนหยัดได้ถึงทุกวันนี้ เยี่ยมชมบ้านเก่าและเรียนรู้วิถีชีวิตดั้งเดิม การเยี่ยมชมบ้านเก่า ๆ ในชิราคาวาโกะเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด บ้านหลายหลังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยบางแห่งได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่แสดงถึงวิถีชีวิตในอดีต เช่น บ้านวาดะ (Wada House) และบ้านคันดะ (Kanda House) ซึ่งเป็นตัวอย่างของบ้าน กัชโช-สึคุริ…
-

วัดโทฟุคุจิ : เวลาที่ถูกหยุดไว้กับความสงบ
หยุดเวลาไว้ที่นี่ : ค้นพบความสงบแห่งวัดโทฟุคุจิ วัดโทฟุคุจิ (東福寺, Tōfukuji) หนึ่งในวัดเซนที่โด่งดังที่สุดของเกียวโต เป็นสถานที่ที่ทำให้เวลาราวกับหยุดนิ่ง ด้วยสวนที่เงียบสงบ สถาปัตยกรรมโบราณ และความงดงามของธรรมชาติ คุณจะได้สัมผัสความสงบเหนือกาลเวลาและหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน ประวัติศาสตร์ และความสำคัญ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1236 โดยตระกูลคุโจ (สืบสายมาจากตระกูลฟูจิวาระ) วัดโทฟุคุจิถูกออกแบบตามแบบวัดของราชวงศ์ซ่งในจีน เป็นวัดหลักของนิกายเซนรินไซและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำสมาธิ โครงสร้างสำคัญ เช่น ประตูซันมอนและสวนโฮโจ ยังคงรักษาเสน่ห์ของยุคสมัยในอดีตเอาไว้ โดยชื่อโทฟุคุจิเป็นการผสมผสานกันของชื่อวัดที่ยิ่งใหญ่ 2 แห่งในเมืองนาราที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลฟูจิวาระ ได้แก่ วัดโทไดจิ และ วัดโคฟุคุจิ จุดเด่นของวัดโทฟุคุจิ • สะพานสึเท็นเคียว (Tsutenkyo Bridge, 通天橋): ทอดยาวข้ามหุบเขาที่เต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ล สะพานแห่งนี้มอบวิวที่งดงาม โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วง สีสันของใบไม้ทำให้เหมือนธรรมชาติหยุดนิ่งในภาพวาด • สวนฮอนโบ (Honbo Garden, 方丈南庭) ที่: สวนเซนที่แบ่งออกเป็นสี่ส่วน แต่ละส่วนมีการออกแบบที่เรียบง่ายและลึกซึ้ง สะท้อนความสงบและการหยุดนิ่งของเวลา • ประตูซันมอน (Sammon Gate, 三門):…
-

วัดเอคันโด : การเดินทางผ่านกาลเวลา และสีสันฤดูใบไม้ร่วง
การเดินทางผ่านกาลเวลา และสีสันฤดูใบไม้ร่วงของวัดเอคันโดที่เกียวโต วัดเอคันโด (永観堂, Eikando Zenrin-ji) ตั้งอยู่ในเขตฮิกาชิยามะอันเงียบสงบของเกียวโต เป็นจุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประวัติศาสตร์อันล้ำค่าและความงดงามของธรรมชาติญี่ปุ่น วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงในฐานะ “วัดใบเมเปิ้ล” เนื่องจากความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งดึงดูดผู้เยี่ยมชมจากทั่วโลก อัญมณีทางประวัติศาสตร์ วัดเอคันโดมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 853 เมื่อก่อตั้งขึ้นโดยพระชินโชในฐานะวัดพุทธนิกายชินงอน ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นวัดในนิกายโจโด และกลายเป็นสถานที่สำคัญทางจิตวิญญาณ วัดนี้ยังเป็นที่เก็บรักษาสมบัติทางวัฒนธรรมหลายชิ้น รวมถึงพระอมิตาภะพุทธรูปที่หันมองข้างหลังซึ่งถือเป็นงานศิลปะที่หายาก สวรรค์ของสีสันฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าวัดเอคันโดจะสวยงามตลอดทั้งปี แต่ในฤดูใบไม้ร่วงกลับมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง ต้นเมเปิ้ลกว่า 3,000 ต้นเปลี่ยนสีสันเป็นเฉดแดง ส้ม และทอง สร้างทัศนียภาพที่งดงาม เทศกาล โมมิจิ (ใบเมเปิ้ล) ในเดือนพฤศจิกายนเปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมได้ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีการประดับไฟในยามค่ำคืนอีกด้วย การสำรวจพื้นที่วัด นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมอาคารต่าง ๆ ของวัด สัมผัสบรรยากาศเงียบสงบของสวน และขึ้นไปยังเจดีย์เพื่อชมวิวมุมกว้างของเมืองเกียวโต อย่าลืมแวะชม สระโฮโจ ที่สะท้อนสีสันสดใสของต้นไม้ลงบนผิวน้ำ เคล็ดลับสำหรับการเยี่ยมชม • ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: กลางถึงปลายเดือนพฤศจิกายน เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี • ค่าเข้าชม: ประมาณ 1,000 เยนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง • การเดินทาง:…
-

วัดเบียวโดอิน : ความงามเหนือกาลเวลาแห่งเมืองอุจิ
ค้นพบความงามเหนือกาลเวลาของวัดเบียวโดอินที่อุจิ เกียวโต ในเมืองประวัติศาสตร์อุจิ ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเกียวโตอันคึกคักเพียงนั่งรถไฟสั้น ๆ เป็นที่ตั้งของ วัดเบียวโดอิน หนึ่งในเพชรเม็ดงามของวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก และมีชื่อเสียงในเรื่องบรรยากาศที่เงียบสงบและสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ที่นี่ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของญี่ปุ่น นี่คือสิ่งที่ทำให้เบียวโดอินเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือน ประวัติโดยย่อของวัดเบียวโดอิน วัดเบียวโดอิน (平等院, Byōdōin) เดิมสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 998 ในฐานะวิลล่าพักผ่อนในชนบทของนักการเมืองผู้มีอิทธิพล ฟูจิวาระ โนะ มิจินากะ ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนเป็นวัดพุทธนิกายโจโด (ดินแดนสุขาวดี) ในปี ค.ศ. 1052 โดยลูกชายของเขา ฟูจิวาระ โนะ โยริมิจิ ในช่วงเวลาที่ชาวญี่ปุ่นหลายคนเชื่อว่าโลกจะถึงกาลสิ้นสุดตามคำทำนายของพุทธศาสนา วัดแห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนสรวงสวรรค์ดินแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับสวรรค์ในพุทธศาสนามหายาน และยังคงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมยุคเฮอัน อาคารโฮโด: เพชรยอดมงกุฎของวัดเบียวโดอิน จุดเด่นของวัดเบียวโดอินคือ อาคารโฮโด (หอวิหก หรือ หอฟินิกส์) ที่งดงาม ซึ่งตั้งชื่อตามรูปปั้นวิหคฟีนิกซ์สองตัวที่ตั้งอยู่บนหลังคา เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1053 อาคารฮูโดเป็นโครงสร้างที่สวยงามที่ดูเหมือนลอยอยู่บนผืนน้ำของบ่อน้ำกลางวัด สถาปัตยกรรมอันสง่างามของอาคารที่มีลักษณะคล้ายปีกและโครงไม้ที่ประณีตได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับสถาปัตยกรรมอื่น ๆ นับไม่ถ้วนในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ภายในอาคาร ผู้มาเยือนจะได้ชื่นชมรูปปั้นพระอมิตาพุทธ ซึ่งสร้างโดยช่างแกะสลักชื่อดัง…
