ในพาร์ทนี้ เราจะมาลงรายละเอียดเกี่ยวกับอาสาที่เราไปทำ….ไปดูกันเลย
NICE to meet you…
- Oi, Tokushima
- ออกเดินทางสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น
- กิจกรรมในโครงการ
- บรรยากาศที่พัก
- อาหารการกิน
- แล้วเราทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เริ่ม!!
Oi, Tokushima
ที่ญี่ปุ่น มีเส้นทางแสวงบุญที่เรียกว่า “Ohenro” เป็นเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเดินทางไปชมวัดทั้ง 88 แห่งในภูมิภาคชิโกกุ หนึ่งในจุดแวะพักของเส้นทางนี้ ก็คือหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้าน Oi หมู่บ้านนี้ต้อนรับนักแสวงบุญมานานหลายปีแล้ว โดยทุกคนจะเดินผ่านที่นี่ก่อนจะไปยังวัดKakurin-ji (ซึ่งเป็นวัดลำดับที่ 20 ของเส้นทางโอเฮนโระ)
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หมู่บ้านกำลังเผชิญกับปัญหาคนสูงอายุที่เพิ่มขึ้น และคนหนุ่มสาวก็ย้ายออกไปทำงานในเมืองมากขึ้น Masa (ซึ่งเป็นเจ้าของ workcamp) เล่าให้เราฟังว่า ในละแวกนี้มี 10 หมู่บ้าน หมู่บ้านที่เราอยู่มีคนประมาณ 26 คน ครึ่งนึงนอนอยู่ที่ โรงพยาบาล และที่อยู่จริงๆแค่ 10 กว่า คน และก็มีบ้านร้างที่ไม่ค่อยมีคนค่อนข้างเยอะเลย (ดังนั้นบ้าง Job คือการ ทำความสะอาดบ้านร้าง !!)
ออกเดินทางสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น
ในทุกงานอาสา มักจะนัดรวมตัวกันอาสาสมัครในช่วงบ่ายของวันแรก สำหรับอาสาที่ Oi นี้ จุดนัดพบของเราคือ สถานีรถไฟ Anan เวลา 15:00 น. การเดินทางที่แสนสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว…
หมายเหตุ ใน NICE info sheet ให้รายละเอียดมาดีมาก ร่วมถึง location ใน Google map และ วิธีการเดินทางไปที่จุดนัดพบ ต้องขึ้นรถ ต่อรถไฟอย่างไร รวมถึงเสนอทางเลือกในการเดินทางหลายช่องทาง เช่น มาทางรถ, มาทางเครื่องบิน และมีราคาเปรียบเทียบให้เราอีกด้วย (ซึ่งดีมากๆเลย ในการให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ) นี่ก็เรียกได้ว่าเป็น Omotenashi อย่างนึงได้เลย
แผนที่เราเลือกคือ
(1) Suvarnabhumi INTL—> (2) KANSAI Airport —> (3) Highway bus to Tokushima
—> (4) JR mugi line to Anan station
จริงๆ หลายคนจะแนะนำให้ไปนอนค้างก่อนสักคืนเพื่อให้ไม่เหนื่อยต่อการเดินทางมากไป แต่หากใครไม่สะดวก ติดงานเหมือนเรา ต้องเดินทางกลางคืน เอาจริงๆก็พอไหว ได้อยู่นะ!! มีช่วงให้ได้นอนเยอะ แต่แค่อาจจะเมื่อยตัวนิดหน่อย จากการที่ต้องนั่งนานๆเท่านั้นเอง
ออกเดินทาง เริ่ม!!
เราเดินทางรอบเวลา 23:59 น. ซึ่งต้องไปถึงสนามบินอย่างน้อย 3 ชม.
ปล. ยิ่งถ้าเป็นช่วงวันหยุดยาว อย่าลืมเผื่อเวลาเดินทางเยอะๆหน่อยนะ ถ้ามาทางภาคพื้น รถติดมาก แต่หากใครอยู่ในตัวเมือง ในกรุงเทพ หาทางมา Airport link ได้จะไวขึ้นเยอะ
(1) Bangkok suvarnabhumi INTL (23:59 น.) —> (2) Osaka Kansai INTERNATIONAL (7:30 น.)
Duration time 5:31 hrs.
** ถ้ากรอก visit Japan มาก่อน ขั้นตอนตรงนี้จะเร็วขึ้นเยอะเลย
** เนื่องจากเรามาถึงเช้า คนก็เลยไม่เยอะมากเท่าไหร่ ค่อนข้างไวมากทีเดียว แต่ถ้าใครมาช่วงเวลาคนเยอะ อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเข้า ตม. สักหน่อย รวมๆระยะเวลาเข้า ตม. และรอกระเป๋า สำหรับในช่วงเช้ามืด ราวๆ 60-90 นาทีได้เลย
พอถึงสนามบินแล้วก็อย่าลืมเผื่อเวลา “งง” ทำความรู้จักกับป้ายบอกทาง สถานที่ ที่ต้องขึ้นรถ (ซึ่งเขาก็ค่อนข้างบอกมาแบบละเอียดนะ แต่เรางงเอง อะฮรืออ ต้องใช้ทักษะการอ่านป้ายเยอะมาก) เนื่องจากมาถึงก่อนเวลาขึ้นรถเกือบ 1 ชม. เราเลยมีเวลาไปเที่ยวเล่นในสนามบิน Kansai หาอะไรรองท้องแปปนึง
ปล. ถ้าใครมาเช้า ไม่ต้องกลัวเรื่องร้านอาหารเลย ที่สนามบิน ร้านอาหารส่วนใหญ่เปิดเร็วมาก 7:30 ก็เปิดแล้ว ลองขึ้นไปตรงชั้น 2 เขาจะมีโซนร้านอาหารเยอะเลย หรือจะหาอะไรรองท้องใน Lawson ก็ได้
(2) KANSAI Airport (10:05 น.) → (3) Highway bus to Tokushima (12:50 น.)
Duration time 2:45 hrs
รถมาแล้ว!! เราก็ยื่นตั๋วที่เราจองให้กับเจ้าหน้าที่ (เราจองออนไลน์ไปก่อน แล้วเขาจะส่งรายละเอียดตั๋วมาให้เราทางเมลล์ *ข้อมูลเว็บไซต์ในการจองตั๋วก็อยู่ใน NICE Info sheet นะ*)
(3) JR mugi line from Tokushima station (13:30 น.) —> (4) Anan station (14: 24 น.)
Duration time 0:44 hrs
แล้วเราก็มาถึงสถานี Tokushima ตอน 12:50 น. (เวลาเขาเป๊ะมากเลยจริงๆ ถึงตามที่เขียนเอาไว้เลยละ) เราก็ดูรอบรถไฟ ใน Google map ว่ารถไฟจะมีรอบเวลาไหนบ้าง (เป็นประโยชน์มาก ช่วยได้เยอะเลย)
มหัศจรรย์มาก ที่รถไฟออกจากสถานีต่างๆ ตามเวลาที่โชว์ในนี้จริงๆ พอเรากะเวลาแล้วว่าจะขึ้นรถไฟกี่โมง ก็พอจะมีเวลาเหลือประมาณนึง เลยหาข้าวเที่ยงกินที่สถานี Tokushima เลย ซึ่งร้านอาหารเยอะมากจริงๆ
Meeting Point : Anan Station 15:00 น. พอถึงแล้วก็มีคนมารับตามเวลาที่ลงไว้เลย ระหว่างทางขับไปที่พักวิวดีมากก อ้อมเขาไป 3 ตลบ น้ำใสและเย็นสบายมาก
กิจกรรมในโครงการ
1) Harvesting and shipping during the peak of the Japanese Shikimi (August/September/December)
“ชิกิมิ” เป็นพืชที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนาในญี่ปุ่น จะใช้ในพิธีกรรมต่างๆ หรือเป็นเครื่องราง โดยเฉพาะในงานศพและการรำลึกผู้ล่วงลับ
2) Harvesting and shipping of Sudachi (Japanese citrus fruit) at the peak of harvest (April/August/September) เป็นกิจกรรมหลักของที่นี้เลย คือ การปลูกส้มซุดาจิ ถ้าไม่ใช่ช่วงเก็บเกี่ยว ก็อาจจะไปตัดแต่งกิ่ง เพื่อให้ต้นแตกหน่อในฤดูกาลถัดไป ช่วงเก็บเกี่ยวจะต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เริ่มงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อจะได้ไม่เจออากาศร้อน หลังจากเก็บผลแล้ว จะคัดขนาดและตรวจสภาพ ก่อนบรรจุลงถุงขาย
3) Planting sudachi in a new field. (March) ปลูกต้นซุดาจิ
4) Hosting Language exchange café (Irregularly held) เปิดโอกาสให้ชาวบ้าน โดยเฉพาะเด็กๆ ได้พูดคุยกับชาวต่างชาติผ่านกิจกรรมสนุกๆ เช่น ปิงปอง ดนตรี และตอบคำถาม เพื่อเสริมทักษะภาษาและเปิดโลกกว้าง
5) Cleaning of vacant houses, carrying out furniture. ปัญหาบ้านร้างในญี่ปุ่นเกิดจากผู้สูงอายุเสียชีวิตหรือย้ายออก และคนรุ่นใหม่ย้ายเข้ากรุง ชาวบ้านจึงช่วยจัดการบ้านร้าง เพื่อนำมาใช้รองรับอาสาสมัครต่างชาติ
6) งานอื่นๆ ตามโอกาสตลอดปี
– เขียนป้ายภาษาอังกฤษให้แหล่งท่องเที่ยว
– ดูแลพื้นที่ผีเสื้อ Asagimadara และแหล่งหิ่งห้อย
บรรยากาศที่พัก
บ้านพักที่นี้มีห้องพักหลายห้องมาก ถ้ามาเป็นกลุ่มจะนอนด้วยกันในห้องใหญ่ก็ได้ หรือจะขอเลือกนอนคนเดียว ก็มีห้องเหลือเฟือมาก
ส่วนมากที่พักมักจะมีเครื่องซักผ้า ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าจะไม่พอใส่ เรามีเวลาซักทัน แต่อาจจะไม่มีเครื่องอบผ้านะ ซึ่งมีแค่ที่ปั่นผ้าก็เพียงพอมากๆแล้วละ
ห้องน้ำคนญี่ปุ่น มักจะแยกห้องอาบน้ำ ชักโครก อ้างล้างมือ ออกจากกัน ช่วงที่เราไปคนไม่เยอะมาก เลยจัดสรรห้องน้ำได้สบายมาก แต่ถ้าบางกรุ๊ปมีหลายคน อาจจะต้องตกลงกันว่าใครจะเข้าห้องน้ำกันตอนกี่โมง
อาหารการกิน
ของค่ายนี้ อาสาจะผลัดกันทำอาหาร รอบที่เราไปมี ไทย ไต้หวัน และสิงค์โปร์ ซึ่งอาสาคนไต้หวันทำอาหารเก่งมาก โชคดีมากที่มีเธอ บางมื้อเราก็ได้ทำ ซึ่งเราเตรียมพวก ผงต้มยำ ผงกะเพรา ผงแกงเขียวหวาน ผงลาบไป ได้ทำจริงๆ คือ ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน กับ ลาบไก่ เดี๋ยวเราจะเอาภาพแต่ละมือมาให้ดู
Day 1 : ข้าวหน้าไก่ (dinner) เพื่อนไต้หวันทำให้
Day 2 : โอนิกิริ (breakfast) I ซารุโซบะ (Lauch) I แกงเขียวหวาน ไข่เจียว (dinner)
Day 3 : สลัดผัก (breakfast) I ร้าน yamainunouen (Lauch) I ข้าวหน้าปลาซาบะ (dinner)
Day 4 : สลัดผัก ที่เหลือเมื่อวาน (breakfast) I โอนิกิริ (Lauch) I โซบะที่เหลือจากวันก่อน (dinner)
Day 5 : French Toast จากเพื่อนสิงค์โปร์ (breakfast) I โอนิกิริ (Lauch) I มาม่าต้มยำกุ้งกับลาบไก่ (dinner)
Day 6 : โอนิกิริ อีกรอบบ (breakfast) I ข้าวหน้าแกงกะหรี่ (Lauch) ก่อนเดินทางกลับ
แล้วเราทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เริ่ม!!
Day 1
จะเป็นวันร่วมตัว ยังไม่ได้ทำอะไรมาก มีแค่ทำข้าวเย็นร่วมกันเท่านั้น 😂
Day 2
เราเริ่มต้นกิจกรรมตอนเช้าด้วยการไป elementary school เป็นจังหวะที่โรงเรียนมีประชุมผู้ปกครอง มีการแสดงของเด็กๆ น่ารักมากเลย คุณครูโรงเรียนอนุบาล ให้เด็กได้ลองฝึกพูดภาษาอังกฤษและฝึกความกล้าแสดงออก เด็กๆเตรียมคำถามง่ายๆ มาถามอาสาต่างชาติ เช่น ชอบกินอาหารอะไร ชอบสีอะไร ชอบเล่นกีฬาอะไร เด็กๆเตรียมของขวัญเล็กๆให้พวกเราด้วย เป็นโอริกามิ พับเป็นรูปต่างๆ และเราก็ได้เล่นเกมส์ fruit basket กับเด็กๆ
ช่วงบ่าย เราไปสวนส้มกัน ไปเด็ดส้มที่แก่แล้วออก เพื่อให้ส้มได้แตกหน่อออกในฤดูกาลหน้า
Day 3
ตอนเช้าเราไปทำความสะอาดศาลเจ้ากัน ซึ่งเขาจะมีพิธีประจำปี ปีละ 1 ครั้ง คนที่นี้เคารพเทพเจ้า เทพอามาเทราสึ(Amaterasu) เทพแห่งดวงอาทิตย์ เราก็ไปปัดกวาด เช็ดถู เก็บใบไม้ ล้างถ้วยชาม เพื่อเตรียมสำหรับพิธีช่วงเย็นและเช้าวันรุ่งขึ้น
ช่วงบ่ายเรามีเวลา free time เราเลยปั่นจักรยานไปกินข้าวที่คาเฟ่กัน (เราปั่นจักรยานกันเกือบ 10 โล ไป-กลับ ใช้เวลาไปและกลับร่วมชั่วโมง ในตอนเที่ยง!!!) แต่อาหารอร่อยมาก คุ้มค่าแก่การเหนื่อย
ช่วงเย็นเราได้เข้าร่วมพิธีไหว้ศาลเจ้า อาสาทุกคนได้เข้าร่วมพิธีไหว้ศาลเจ้าด้วย ซึ่งเป็นพิธีที่ปราณีตมาก มีรายละเอียดตั้งแต่การก้าวเท้า เท้าซ้ายก่อนเท้าขวา, ให้ขึ้นบันไดทีละขั้นคือซ้ายนำ ขวาตาม, เวลารับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์(sakaki) ก็มีวิธีการวางมือ มือซ้ายหงาย มือขวาคว่ำ, ไหว้ 1 ที ก็หมุนกิ่งไม้ 1 ที แล้วสุดท้ายปิดด้วยการปรบมือ 2 ทีและคารวะก้ม 1 ที
Day 4
ช่วงเช้าเราไปทำพิธีไหว้ศาลเจ้าตามเดิม และต่อด้วย Languages cafe กันตอน 10 โมง ตอนแรกก็ลุ้นว่าจะมีคนมาไหมหนอ แต่สุดท้าย มากันเกือบ 30 คน (ดีใจน้ำตาไหล☺️) ผลไม้อบแห้งที่เราเตรียมมา ได้ใช้ในตอนนี้ละ และก็เตรียมสไลด์นำเสนอวัฒนธรรมไทยเช่น อาหาร ฤดูกาล ภาษาไทย สถานที่ท่องเที่ยว และก็เล่นเกมส์เล็กๆกับเด็กๆ และ คนในหมู่บ้าน
และช่วงบ่ายเรามีเวลาว่างอีกแล้ว!! เราและเพื่อนๆ เลยตัดสินใจ ปั่นจักรยานไปวัดหมายเลข 21 วัด Tairyūji (太龍寺) ซึ่งจากบ้านที่เราพัก สามารถไปได้หลายเส้นทาง จะเดินก็ได้ หรือจะปั่นจักรยานแล้วไปขึ้นกระเช้าก็ได้ ซึ่งเราเลือกอย่างหลัง (กว่าจะไปถึงกระเช้า ต้องปั่นจักรยาน ร่วม 10 km ในเวลาเที่ยง!! อีกแล้ว) รอบนี้เราเตรียมการเพื่อการนี้อย่างดี เอาผ้าชุบน้ำพกติดตัวไว้ + น้ำเปล่าและน้ำเกลือแร่อย่างละขวด พร้อม!!! กลับมาหลับสบาย!!!
Day 5
เช้านี้ฝนตก เราเลยทำงานในเรือนกระจก เราไปตัดแต่งกิ่งส้มกัน อันนี้เป็นความรู้ใหม่ที่น่าสนใจมาก เป็นศิลปะมากๆเลย คือการตัดหนึ่งครั้งเราต้องคิดถึงอนาคตว่า ตรงที่เราตัด ต้นส้มเขาจะแต่งหน่อยังไงต่อ การตัดต้องเหลือส่วนปลายที่มีใบเลี้ยง ให้เขาส่งอาหารไปเลี้ยงส่วนที่ถูกตัดด้วย เพื่อให้ได้แตกหน่อต่อไป ถ้าไม่มีใบเลี้ยง ส่วนนั้นก็จะตายไป 😂 (ซึ่งตอนแรกเราไม่เข้าใจ พลาดไปเยอะ ต้นส้มหัวโล้นเกือบไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลย ขอโทษ Masa ด้วย 😂 )
ช่วงบ่ายเรามี event พิเศษ คือไป Junior High school เราก็ไป culture exchange กันอีกรอบ ก็เตรียมสไลด์ไป เด็กก็เตรียมสไลด์มาเล่าให้เราฟังเป็นกลุ่ม
ช่วงท้ายพิเศษมาก มีการแสดงจากเด็กๆ เป็นการแสดงพื้นบ้านของโทคุชิมา ชื่อว่า การเต้น Awa Odori (อาวะโอโดริ) คือหนึ่งในเทศกาลเต้นรำที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น และเป็นไฮไลต์ของฤดูร้อนที่จังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) บนเกาะชิโกกุ และเขาก็สอนเรารำด้วย !!! (โดยรวมวันนี้สนุกและประทับใจมาก)
Day 6
วันสุดท้าย วันนี้จะไม่มีกิจกรรมอะไร เพียงแต่เป็นการเก็บกวาดที่พัก และ ก็เขียนบันทึกเล็กๆปิดท้ายเท่านั้น
เดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายของการทำอาสาแล้ว สุดท้ายแล้วเราอยากบอกว่า การตัดสินใจมาที่นี้ เป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่ามากเลย จริงๆช่วงนั้นมีข่าวที่ทั้งไทยและญี่ปุ่นเรื่องร่องลึกนันไก น่ากลัวมาก มีหลายครั้งที่เราคิดว่า จะยกเลิกตั๋วเครื่องบินและยกเลิกการมาทำอาสาดีมั๊ย…แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจมา
ตอนนั้นเรารู้สึกถึงคำว่า “Ichi-go ichi-e【一期一会】” เลยอ่ะ “หนึ่งครั้ง หนึ่งการพบพาน” คือเราเคยได้ยินคำนี้หลายครั้งแล้วละ และก็อีกครั้งจาก อ.เกตุวดี เขาเคยมาบรรยายเรื่อง “Omotenashi” จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น ที่ทำงานเรา… แล้วมันมาเรื่อง “ichigo ichie” ได้ยังไงใช่มะ
เล่าก่อนว่า
omotenashi เกิดจากการรวมคำระหว่าง omote (ด้านหน้า) + nashi (ไม่มี) อ.เกตุ ให้ความหมายว่า คือ การไม่มีด้านหน้า-ด้านหลัง หรือ การทำโดยไม่หวังผลตอบแทน
อาจารย์เล่าว่า จุดเริ่มต้นมาจาก พิธีชงชา (Tea ceremony) ที่ไม่เพียงแต่เป็นศิลปะการชงชา แต่มันคือศิลปะการใช้ชีวิต ซึ่งต้องใช้เวลาบ่มเพาะนาน อย่างน้อยขั้นพื้นฐาน 2-3 ปี
เราก็สงสัยว่า ทำไมเรียนอะไรนานขนานนั้น ? แค่ชงชาเอง
ใจความสำคัญของสิ่งนี้คือ “ทำซ้ำๆ จนออกมาจากใจ” สิ่งที่ทำให้เค้าทำสิ่งนี้ได้อย่างละเอียดอ่อน ใส่ใจ ปราณีต มาจากหลักคิดว่า อิจิโกะ อิจิเอะ ( 一期一会,Ichigo-Ichie) = หนึ่งครั้ง หนึ่งพบพาน (คำนี้มาแล้วว!!)
จริงๆคนที่เริ่มทำสิ่งนี้ คือ ”ซามุไร“ เริ่มแรก เขาก็ดื่มชาเพื่อสงบใจ และก็จะเห็นเขาดื่มชาตอนคืนก่อนจะออกรบ เหมือนเป็นการดื่มชาร่วมกับคนที่รัก ที่อาจจะเป็นจอกสุดท้าย เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ ใครจะจากเราไป….
“แม้เราจะได้มาเจอกันอีกครั้ง มาดื่มชาร่วมกันอีกครั้ง
แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิม แม้กระทั่ง ความคิด ความรู้สึก”
เพราะไม่รู้ว่า วันพรุ่งนี้จะมีไหม จึงทำ “หนึ่งช่วงเวลา”
ให้เป็นเสมือนวันสุดท้าย “หนึ่งการพบพาน”
หลักของ OMOTENASHI คือ “ความใส่ใจ” นึกว่า อะไรกันแน่ คือความ “ต้องการจริงๆ” ของคนตรงหน้า มองคนตรงหน้า คือ “คน” ที่มีเรื่องราวต่างๆมากมาย
มันลึกซึ้งอย่างงี้ละ ตอนนั้นเราเข้าใจเลยอะว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างให้เราไม่ได้กลับมาก็ได้ ….แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจไป แล้วเราก็เตรียมการทุกอย่างไว้ เสมือนว่า อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้พบเจอกับทุกคน เราเตรียมประกันชีวิตหลายฉบับมาก และจะเขียน Living Will เลยทีเดียว แต่ทำไม่ทัน เลยเพียงแค่สื่อสารสิ่งสำคัญกับคนสำคัญของเราเท่านั้น …สุดท้ายตัดสินใจแล้ว ก็ไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว ก็ใช้เวลากับสิ่งตรงหน้าให้เต็มที่ เสมือนว่า คือ หนึ่งครั้ง หนึ่งการพบพาน
เราอยากบอกว่า ….ขอบคุณมากๆเลยที่เดินทางด้วยกัน มาจนจบถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ 😊
ขอบคุณ Masa, Mika, Kanea, Jessie and Leslie และทุกๆคนในหมู่บ้าน ทุกคนน่ารักใจดีมากๆเลย เราได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นมากๆตลอดการใช้เวลาอยู่ที่นั้น เป็นการเดินทางที่ดีและมีความหมายมากเลย ขอคุณทุกเหตุปัจจัยที่ทำให้เราได้เจอกัน NICE TO MEET YOU.


Leave a comment