สืบเนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกายประเทศเมียนมา ส่งผลกระทบมาสู่ประเทศไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่อาคารสูงในกรุงเทพฯ
ในขณะที่มีเกิดแผ่นดินไหว บางคนอาจจะไม่รู้ตัวเลย แต่สำหรับคนที่อยู่ในอาคารสูงย่อมรับรู้ได้ชัดเจนทีเดียว บางทีถึงกับคิดถึงขนาดว่า “ชีวิตคงจะจบ ณ ที่นี้”
ในด้านหนึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เราได้รับรู้ได้เลยว่า “ความตาย” ไม่ได้อยู่ไกลไปจากเรามากเท่าไหร่นัก ภัยต่างๆ รอบตัวเราสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่มีบอกวัน เวลา ให้กับเราได้รับทราบเลย
เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย สติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่สติไม่ได้เกิดขึ้นเองในยามคับขัน หากไม่ได้ฝึกฝนมาก่อน เราอาจมีแต่ความตกใจและหวาดกลัว
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงบุคคล 4 ประเภท ที่เป็นผู้มีความกลัวต่อความตาย มีความสะดุ้งต่อความตาย มีความเศร้าโศกที่จะต้องละจากสิ่งอันเป็นที่รักไป ใน อภยสุตร (องฺ.จตุกฺก. 21/184) คือ
1. บุคคลที่ยังหวงแหนในกามสุข (ความสุขจากวัตถุสิ่งเสพ)
2. บุคคลที่ยังหวงแหนในร่างกายนี้ คือ ความสุขที่จะได้จากร่างกายนี้
3. บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้มาก ไม่ได้ทำกรรมดีไว้ จะระลึกว่าเมื่อตายไปจะไปสู่ทุคติ
4. บุคคลที่มีความเคลือบแคลงสงสัยในพระสัทธรรม กล่าวคือ คำสอนของพระพุทธเจ้า
หลังจากนั้นก็ได้ตรัสถึงบุคคล 4 ประเภท ที่ไม่มีความกลัวต่อความตาย ไม่มีความสะดุ้งต่อความตาย และไม่มีความเศร้าโศกที่จะต้องละจากสิ่งอันเป็นที่รักไป ก็คือตรงกันข้ามกับบุคคล 4 ประเภทที่มีความกลัวต่อความตายนั่นเอง
ซึ่งการที่จะเป็นผู้ไม่กลัว ไม่สะดุ้งต่อความตายนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ดีดีก็จะเป็นได้เลย หากแต่เกิดจากการพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นในสิ่งต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในตนเองทั้งนั้น เมื่อพิจารณาไว้มาก (โยนิโสมนสิการ) แล้ว ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ย่อมเกิดขึ้น และการสะสมไว้ซึ่งกุศลความดีงาม การประพฤติตามครรลองครองธรรม
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่ไม่มีความกลัวต่อความตายนั้น จะไม่ต้องหนีเหตุการณ์ที่จะทำให้ถึงชีวิต แต่กลับกันคือจะมีความเข้าใจต่อเหตุปัจจัยและทำตามแต่เหตุปัจจัยนั้นๆ และก็สามารถมีความสุขในการดำเนินชีวิตได้


Leave a comment