สันโดษที่แท้ ต้องรับใช้ความไม่สันโดษด้วย

ในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่มุ่งกอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่ตนเอง คำสอนที่กล่าวถึงเรื่องความพอเพียงแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็ถูกให้ความสำคัญน้อยลงไป หรือบางทีก็มีความเข้าใจที่ผิดต่อคำสอนนั้นบ้าง ว่า “เพียงพอ”, “พอเพียง”, “ยินดีในสิ่งที่มีอยู่” เป็นคำสอนที่ทำให้ฉุดรั้งสังคมไม่ให้เกิดความพัฒนา ซึ่งหากได้เข้าไปลองพิจารณาดูอีกทีอาจจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกตรงซะทีเดียวก็ได้

คำว่า “สันโดษ” เองก็เช่นกัน เป็นคำที่มาถึงวันนี้มีความคลาดเคลื่อนออกไปจากเดิมมากจริงๆ

สันโดษคืออะไรกันแน่ ?

สันโดษ หรือในภาษาบาลีคือ สนฺตุฏฺฐี อ่านว่า สัน-ตุด-ถี

พอพูดถึง “สนฺตุฏฺฐี” ก็ทำให้นึกถึงพุทธภาษิตบทหนึ่งทุกที ซึ่งเป็นภาษิตที่ในสังคมไทยเราอาจจะได้ยินบ่อยๆ แต่อาจจะได้ยินไม่ค่อยเต็มบท

อโรคฺยปรมา ลาภา สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ
วิสฺสาส ปรมา ญาติ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ

พระไตรปิฎกฉบับ มจร. ขุ.ธ. 25/204

ซึ่งมีความหมายว่า

ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

“สันโดษ” ที่คนทั่วไปเข้าใจกัน

คำว่า “สันโดษ” ที่ทุกวันนี้เข้าใจกันโดยมากจะหมายถึงการปลีกตัวออกไป ชอบอยู่คนเดียว เป็นลักษณะของคนที่ดำเนินชีวิตคนเดียวซะมากว่า โดยมากจะมีความคล้ายคลึงกับโลกส่วนตัวสูง

หากความหมายของสันโดษเป็นแบบนั้นจริง ก็ไม่น่าจะเป็นทรัพย์อย่างยิ่งตามพุทธภาษิตได้เลย

ความหมายของ “สันโดษ” คืออะไร

ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ เขียนโดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ได้ให้คำอธิบายคำว่า สันโดษ ไว้ว่า

สันโดษ คือ ความยินดี, ความพอใจ, ยินดีด้วยปัจจัย 4 คือ ผ้านุ่งผ้าห่ม อาหาร ที่นอนที่นั่ง และยา ตามมีตามได้, ยินดีในของของตน, การมีความสุขความพอใจด้วยเครื่องเลี้ยงชีพที่หามาได้ด้วยความเพียรพยายามอันชอบธรรมของตน ไม่โลภ ไม่ริษยาใคร

สันโดษ 3 คือ

  1. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ คือได้สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่เดือดร้อนเพราะของที่ไม่ได้ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่นไม่ริษยาเขา
  2. ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลัง คือพอใจเพียงแค่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและขอบเขตการใช้สอยของตน ของที่เกินกำลังก็ไม่หวงแหนเสียดาย ไม่เก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือฝืนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน
  3. ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควร คือพอใจตามที่สมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่ของอันเหมาะกับสมณภาวะ หรือได้ของใช้ที่ไม่เหมาะกับตนแต่จะมีประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็นำไปมอบให้แก่เขาเป็นต้น

สันโดษ 3 นี้เป็นไปในปัจจัย 4 แต่ละอย่าง จึงรวมเรียกว่า สันโดษ 12

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

จะเห็นได้ว่าโดยหลักๆ สันโดษ คือมีความยินดี พอใจ ในสิ่งที่ได้มา เพียงพอ พอดี พอเหมาะ แก่สภาวะของตัวเอง ซึ่งมองเรื่องของปัจจัย 4 เป็นหลักเลยครับ

***เน้นนะครับ ว่ามีความยินดี พอใจ ในปัจจัย 4 ที่ได้รับมาด้วยความพยายามของตน***

ซึ่งในที่นี้ไม่เกี่ยวกับว่าจะปลีกตัวออกไปอยู่คนเดียวหรือเปล่านะครับ มุ่งเน้นเฉพาะเรื่องของความพอใจในของที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเลยครับ

รู้จักสันโดษในปัจจัย 4 ไม่พอ ต้องรู้จักไม่สันโดษด้วย

ทีนี้มาว่ากันต่อครับ จริงๆแล้วเวลาพูดถึงเรื่องสันโดษ จะไม่สามารถพูดเรื่องนี้อย่างเดียวได้ครับ ต้องว่าควบคู่ไปกับอีกหมวดธรรมหนึ่ง ชื่อว่า อุปัญญาตธรรม 2

อุปัญญาตธรรม 2 ประการ คือ

  1. ความไม่สันโดษในกุศลธรรม, ความไม่รู้อิ่มไม่รู้พอในการสร้างความดีและสิ่งที่ดี
  2. ความไม่ระย่อในการพากเพียร, การเพียรพยายามก้าวหน้าเรื่อยไปไม่ยอมถอยหลัง

ก็คือว่า เมื่อมีความสันโดษในปัจจัย 4 บริโภคใช้สอยตามความเป็นไป ยินดี พอใจ ตามแต่สภาพที่จะบริโภคได้แล้ว ก็ต้องไม่สันโดษในความดีและสิ่งที่ดี พร้อมกันนั้นก็มีความเพียรพยายามให้มีควาก้าวหน้าในความดี สิ่งที่ดีนั้นๆ ขึ้นไปอีกต่างหาก

จะว่าไปการที่รู้จักแต่ความสันโดษในปัจจัย 4 อย่างเดียว ก็อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าให้ยินดี พอใจ ในสิ่งที่ได้แล้วก็จบลงตรงนั้น พอเลย… ซึ่งไม่ถูก

พอมีความสันโดษในปัจจัย 4 แล้ว การที่จะมัวมุ่งไปแต่จะแสวงหาสิ่งเสพ บริโภคอย่างเดียวก็จะหมดไป เราจะเห็นถึงความพอดีของการมีปัจจัย 4 ในชีวิตขึ้นมา แล้วก็มีกำลังกาย กำลังใจ และเวลาเหลือให้ไปพัฒนากาย-ใจ ส่งเสริม เกื้อกูลให้เกิดความก้าวหน้าของตนเองและสังคมต่อไปได้

หากถือสันโดษไปซะทุกอย่างแม้แต่กุศลธรรมด้วย ก็ถือว่ายังตั้งอยู่บนความประมาท ไม่ได้เจริญในกุศลธรรม กุศล ความดี ก็ต้องให้พัฒนา เจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน จึงว่าไม่ให้สันโดษในกุศลธรรม

สันโดษที่แท้ ไม่ทำให้ถอย กลับทำให้ก้าวไป

สรุปว่าความสันโดษเป็นสภาวะของใจที่มีความอิ่มเอม ยินดี ในสิ่งที่ได้ที่มี คือมีความสุข สบายใจอยู่เนืองๆ ตลอดเวลา ไม่ก่อให้เกิดเบียดเบียน และยิ่งไปกว่านั้นความสันโดษนี้เอง เมื่อมีมากขึ้นแล้ว จะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขง่าย ทุกข์ยากขึ้น เพราะการดำเนินชีวิตของเราจะอิงกับสิ่งเสพ บริโภคลดลงด้วยซ้ำไป แล้วได้ทำสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขที่ละเอียด ปราณีตที่ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ที่ไม่ได้เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อตน แต่เป็นการก้าวเดินไปในแนวทางแห่งการพัฒนาชีวิตอีกระดับหนึ่ง จากการที่ไม่หยุดที่จะพัฒนาสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นนั่นเอง นี้แหละจึงเรียกว่าเป็นทรัพย์ที่แท้ ที่ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป


Comments

Leave a comment